Friday, October 17, 2008

More Facts about a Bitmap Image - ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพบิตแม็ป


A bitmap image is resolution dependent. It is created by a fixed resolution of a pixel grid used to create it. The more pixels (higher resolution) a grid contains, the higher image quality a bitmap image has. The spatial resolution of a bitmap image is measured by the number of pixels or dots in a unit length in each image direction, such as, 72 ppi (pixels per inch) for displaying on a computer screen, 600 dpi (dots per inch) for printing out with any digital printers. Besides being defined by the number of pixels or dots in a unit length, resolution of a bitmap image can be defined by the total number of pixels in that image as used in digital photography which has the unit of resolution in megapixel.

A bitmap image with a higher resolution takes up more storage media space than one with a lower resolution. Also it requires a more powerful computer for an image manipulation task.

A bitmap image isn’t scalable without a sacrifice for its image quality. When it is (too much) enlarged, the resolution becomes less and pixels are larger and become visible. An image thus becomes pixilated, have jagged edges and loses clarity and sharpness (blurring). When it is (too much) shrunk, image clarity and details are lost, usually fine details.

A bitmap image can be created by taking photos with a digital camera, scanning originals with an image scanner or using any paint- and image manipulation programs. Examples of programs used to create a bitmap image are Adobe Photoshop, Paint Shop Pro and Corel Paint.

A bitmap format is ideal for photographs or continuous tones that have myriads of colors and subtle tones. The number of colors and tones are dependent upon the number of bits assigned to each pixel. The more bits per pixels, the more colors and tones.

A bitmap image can be stored in many different file format, such as JPEG, GIF, TIFF, BMP, PICT, PSD, etc.


ภาพบิตแม็ปอิงกับความละเอียด สร้างขึ้นจากตารางกริดของพิกเซลที่มีความละเอียดจำกัดค่าหนึ่ง ยิ่งในตารางกริดสามารถมีจำนวนพิกเซลได้มากเท่าไร ภาพบิตแม็ปนั้นยิ่งมีคุณภาพสูงมากเท่านั้น ความละเอียดเชิงพื้นที่ของภาพบิตแม็ปวัดเป็นหน่วยจำนวนพิกเซลหรือจุดต่อหนึ่งหน่วยความยาวในแต่ละด้านของภาพ เช่น 72 พิกเซลต่อนิ้ว สำหรับการแสดงภาพบนจอคอพิวเตอร์ หรือ 600 จุดต่อนิ้ว สำหรับการพิมพ์ออกด้วยเครื่องพิมพ์ดิจิทัล นอกจากนี้ความละเอียดของภาพบิตแม็ปยังสามารถกำหนดโดยใช้จำนวนพิกเซลทั้งหมดที่มีในภาพ ดังที่ใช้กับการถ่ายภาพดิจิทัล ซึ่งมีหน่วยวัดเป็นล้านพิกเซล

ภาพบิตแม็ปที่มีความละเอียดสูงย่อมต้องใช้เนื้อที่ของสื่อบันทึกข้อมูลมากกว่า และต้องใช้คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงขึ้นสำหรับใช้ในงานการจัดการภาพ

ภาพบิตแม็ปได้รับการสร้างด้วยความละเอียดที่จำกัดค่าหนึ่ง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงขนาดของภาพบิตแม็ป ย่อมหลีกเลี่ยงการสูญเสียคุณภาพของภาพไปไม่ได้ เมื่อขยายภาพบิตแม็ปให้ใหญ่เกินไป ความละเอียดของภาพลดลง พิกเซลมีขนาดใหญ่ขึ้น จนเห็นได้ชัด ภาพบิตแม็ปจึงเกิดการขึ้นพิกเซล มีขอบภาพหยัก สูญเสียความชัดเจนและความคมชัด (พร่ามัว) ในทางกลับกันหากย่อภาพบิตแม็ปมากเกินไป ส่งผลให้สูญเสียความชัดเจน และรายละเอียดของภาพ โดยเฉพาะรายละเอียดขนาดเล็ก

ภาพบิตแม็ปสร้างขึ้นได้จากการถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิทัล กราดด้วยเครื่องกราดภาพ หรือสร้างด้วยโปรแกรมระบาย และโปรแกรมจัดการภาพ

ภาพในรูปบิตแม็ปเหมาะสำหรับภาพถ่ายหรือภาพที่มีน้ำหนักสีต่อเนื่อง ซึ่งมีสีและน้ำหนักสีเข้มอ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก จำนวนสีและน้ำหนักสีขึ้นกับการกำหนดจำนวนบิตให้แก่พิกเซลแต่ละพิกเซล ยิ่งพิกเซลมีบิตได้มากเท่าไร ภาพบิตแม็ปนั้นยิ่งมีสีและน้ำหนักสีได้มากเท่านั้น

ภาพบิตแม็ปสามารถเก็บได้โดยใช้รูปแบบแฟ้มข้อมูลได้หลายรูปแบบ เช่น JPEG, GIF, TIFF, BMP, PICT, PSD

Wednesday, October 15, 2008

Types of Digital Images - ชนิดของภาพดิจิทัล

There are two general types of digital images; still image and motion image. In addition, there are two dimensional (2D) - and three dimensional (3D) digital ones. However, this blog will focus only on a 2D digital still image because the contents in this blog are mainly concerned about digital photography with a digital camera and image manipulation with Photoshop software. The 2D digital still images are divided into two types; bitmapped image and vector image.

Bitmapped image, also called raster image, is the image made up of many pixels (pixel is short for the computer term, “picture element”). Pixel can be thought of as a colored tiny dot. These dots when arrange together on a rectangular grid can form an image. Since these dots are in digital form, they are defined by a binary digit or bit (0 and 1). The image is a map of bits or a spatially mapped array of bits. This type of digital image is thus called Bitmap.









Vector image, also called object-oriented image, is the image made up of many individual scalable objects. These objects are points, lines, curve, shapes or colors, rather an array of pixels. They are defined by mathematic equations. An object in computer science is a part of computer program containing both computer instructions and information on which the instructions operate. A vector is a mathematical object that possesses both magnitude and direction. Any vector images or graphics are created by using anchor points. When adjusting their locations, shapes of vector images can be modified.







โดยทั่วไป สามารถจำแนกภาพดิจิทัลออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว นอกจากนี้ก็ยังมีภาพดิจิทัลที่เป็นภาพสองมิติและภาพสามมิติ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบล็อกนี้มุ่งนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการถ่ายภาพดิจิทัลด้วยกล้องถ่ายภาพดิจิทัล และการจัดการภาพด้วยซอฟต์แวร์โฟโตช็อป ดังนั้นจึงให้ความสำคัญเฉพาะภาพนิ่ง 2 มิติเท่านั้น ซึ่งสามารถจำแนกออกได้เป็นสองประเภท คือ ภาพบิตแม็ป และภาพเวกเตอร์

ภาพบิตแม็ป หรือภาพแรสเทอร์ คือ ภาพที่เกิดจากพิกเซล (pixel เป็นรูปย่อของคำว่า picture element) สามารถนึกถึงพิกเซลว่าเป็นจุดสีขนาดเล็ก เมื่อนำจุดสีจำนวนมากมาเรียงกันลงในตารางกริดสี่เหลี่ยมก็จะสามารถสร้างให้เกิดเป็นภาพขึ้นได้ เนื่องจากจุดสีเหล่านี้อยู่ในรูปดิจิทัล จึงได้รับการกำหนดเป็นบิต (0 และ 1) ภาพบิตแม็ปจึงเป็นภาพของแผนที่บิต หรือแผนที่แสดงการจัดเรียงบิต ซึ่งเป็นที่มาของชื่อบิตแม็ป

ภาพเวกเตอร์ หรือภาพเชิงวัตถุ เป็นภาพที่ไม่ได้ประกอบขึ้นจากพิกเซล หากแต่ประกอบขึ้นจากวัตถุต่างๆ ที่เป็นอิสระต่อกันและเป็นวัตถุที่สามารถขยายขนาดได้ วัตถุเหล่านี้คือ จุด เส้น โค้ง รูปหลายเหลี่ยม และสี วัตถุเหล่านี้อยู่ในรูปของสมการทางคณิตศาสตร์ และเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีทั้งคำสั่งทางคอมพิวเตอร์ และข้อมูลสำหรับคำสั่งที่จะนำไปใช้เพื่อสร้างภาพเวกเตอร์รวมอยู่ด้วยกัน ในขณะที่เวกเตอร์ คือ วัตถุทางคณิตศาสตร์ ซึ่งมีทั้งขนาดและทิศทาง ภาพเวกเตอร์ใดๆ สร้างขึ้นโดยอาศัยจุดตรึง เมื่อปรับตำแหน่งของจุดตรึงนี้ ก็จะสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างของภาพเวกเตอร์ได้

Tuesday, October 7, 2008

What is Digital Photography? - การถ่ายภาพดิจิทัลคืออะไร



Digital photography is a film-free photography that utilizes a digital camera to capture an image signal of a subject, record it and transform its analog form into a digital form. Without a film, the recording of the image is achieved by using a photo sensor. The type of the photo sensor generally used inside any digital cameras is one of the two kinds; CCD (Charge-couple device) or CMOS (Complementary Metal Oxide Semiconductor). The function of the photo sensor is to convert light into electrical charges. The charge in an analog form then is turned to digital value by an analog to digital converter (A/D Converter or ADC). The digital value or image is recorded on camera data storage medium. The digital image data can be stored, displayed, manipulated, printed and transferred using a digital computer system.


การถ่ายภาพดิจิทัล เป็นวิธีการถ่ายภาพที่ไม่ใช้ฟิล์มถ่ายภาพ อาศัยกล้องดิจิทัลในการนำเข้าสัญญาณภาพ บันทึกสัญญาณ และแปลงสัญญาณในรูปแอนะล็อกให้เป็นดิจิทัล การที่ไม่ใช้ฟิล์มในการถ่ายภาพ ในการบันทึกภาพเกิดขึ้นได้โดยอาศัยอุปกรณ์รับแสง อุปกรณ์รับแสงที่ใช้กันทั่วไปในกล้องดิจิทัลมีอยู่ด้วยกันสองชนิด คือ ซีซีดี และซีมอส หน้าที่ของอุปกรณ์รับแสง คือ แปลงแสงให้เป็นประจุไฟฟ้า จากนั้นประจุไฟฟ้าที่อยู่ในรูปแอนะล็อกจะได้รับการแปลงให้เป็นค่าดิจิทัลหรือภาพดิจิทัล ภาพดิจิทัลได้รับการบันทึกในสื่อเก็บข้อมูลของกล้อง ภาพดิจิทัลสามารถเก็บ แสดง จัดการ พิมพ์ออก และถ่ายโอนไม่ใช่ฟิล์ม ข้อมูลภาพดิจิทัลสามารถเก็บ แสดง จัดการ พิมพ์ออก และถ่ายโอนด้วยระบบคอมพิวเตอร์


อุปกรณ์รับแสงซีมอส (CMOS sensor)


Tuesday, August 5, 2008

What is Digital Image? - ภาพดิจิทัลคืออะไร


ภาพของวัตถุต่างๆ ที่เราเห็นใีนชีิวิตประจำวัน เป็นผลมาจากการตอบสนองของเซลล์รับแสงในตามนุษย์เราต่อแสงจากวัตถุต่างๆ เหล่านั้น แสงจากจากวัตถุเดียวกันแต่ต่างบริเวณกัน หรือจากวัตถุต่างประเภทกัน มีความเข้มในแต่ละความยาวคลื่นของแสงที่แตกต่างกันไม่มากก็น้อย เมื่อเดินทางเข้าสู่ตาและตกกระทบบนเซลล์รับแสง จะส่งผลให้เซลล์รับแสงต่างๆ ตอบสนองต่อแสงแตกต่างกันไปด้วย จึงทำให้มนุษย์เราสามารถเห็นภาพของ วัตถุต่างๆ การตอบสนองต่อแสงของเซลล์รับแสง ทำให้เกิดการผลิตสัญญาณส่งไปยังสมอง เพื่อประมวลว่า วัตถุที่ตาเห็นเป็นอะไร มีขนาด สี รูปร่าง รูปทรง และพื้นผิว เป็นอย่างไร

หากเรานำเครื่องมือวัดแสงมาวัดปริมาณแสงจากวัตถุต่างๆ จะพบว่าได้เป็นตัวเลขในระบบเลขฐานสิบที่มีค่าแตกต่างกันหลากหลาย โดยมีความละเอียดเป็นทศนิยมได้ เมื่อจัดเรียงค่าจากมากไปน้อยก็ดี
หรือน้อยไปมากก็ดี จะพบว่าค่าต่างๆ นั้นเรียงต่อเนื่องกัน ดังนั้น ภาพที่เราเห็น อันเกิดจากแสงจากวัตถุที่มีค่าความเข้มที่แตกต่างกันหลากหลายนี้ จึงมีชื่อเรียกว่า
ภาพแอนะล็อก (analog image)” เพราะค่าปริมาณแสงมีค่า ในระบบเลขฐานสิบ และมีความต่อเนื่อง จึงจัดเป็นค่าแบบแอนะล็อก ภาพแอนะล็อกมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ภาพน้ำหนักสีต่อเนื่อง (continuous tone image)"

ตัวอย่างที่สำคัญของภาพแอนะล็อกอีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ภาพถ่าย ในกรณีของการถ่ายภาพแบบเดิม แสงทำให้ฟิล์มถ่ายภาพเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี และเมื่อนำไปสร้างภาพด้วยน้ำยา ภาพของแสงก็จะปรากฏขึ้น ความเข้มอ่อนของน้ำหนักสีในภาพแปรตามปริมาณของแสงที่ตกกระทบบนฟิล์มถ่ายภาพนั่นเอง ภาพที่ได้จึงมีน้ำหนักสีที่ต่อเนื่อง ในกรณีของการถ่ายภาพดิจิทัล ก็มีภาพแอนะล็อกเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน โดยอุปกรณ์รับแสงภายในกล้องถ่ายภาพดิจิทัล มีหน้าที่แปลงพลังงานแสงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า สัญญาณไฟฟ้าเกิดขึ้นมากน้อย แปรตามความเข้มของแสง ดังนั้นสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้น จึงเป็นสัญญาณแอนะล็อก และภาพที่ได้ในขั้นตอนนี้ย่อมจัดว่าเป็นภาพแอนะล็อกด้วย แม้ว่าเราจะไม่สามารถเห็นได้ก็ตาม

การที่ต้องนำข้อมูลสัญญาณไฟฟ้าแอนะล็อกที่ได้ไปประมวลด้วยคอมพิวเตอร์ดิจิทัลที่อยู่ภายในกล้องหรือถ่ายโอนไปยังคอมพิวเตอร์ดิจิทัลอื่น ทำให้มีความจำเป็นต้องมีการแปลงข้อมูลแอนะล็อกให้เป็นดิจิทัลเสียก่อน เช่นนี้แล้ว ภาพดิจิทัล คือ ข้อมูลแบบดิจิทัลของภาพ ซึ่งสามารถเก็บไว้ใน
แสดงได้ด้วย เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ด้วย ประมวลได้ด้วย และ
/หรือถ่ายโอนได้ด้วย (ระบบ) คอมพิวเตอร์ดิจิทัล ที่ต้องระบุว่าคอมพิวเตอร์ดิจิทัล ก็เพื่อต้องการให้เกิดความชัดเจน เนื่องจากในอดีต มีคอมพิวเตอร์ประเภทแอนะล็อกด้วย อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในปัจจุบัน เป็นคอมพิวเตอร์ประเภทดิจิทัล ดังนั้นจากนี้เป็นต้นไป เมื่อกล่าวถึงคอมพิวเตอร์ ก็ให้หมายถึงคอมพิวเตอร์ดิจิทัล

ข้อมูลดิจิทัลที่เล็กที่สุด เรียกว่า บิต (bit) Bit เป็นรูปย่อของ “Binary digit Binary digit หมายถึง เลขโดดในระบบเลขฐานสอง กล่าวคือ 0 และ 1 ในทางคอมพิวเตอร์ ใช้สถานะสองอย่างเป็นรหัสแทนข้อมูลภาพ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ขอยกตัวอย่าง การสร้างตัวพยัญชนะ “H” โดยใช้ 0 และ 1 เป็นรหัสบิต ดังนี้


จากภาพ 0 เป็นรหัสแทนสถานะไม่มีแสงหรือเป็นสีดำ และ 1 เป็นรหัสแทนสถานะมีแสงหรือเป็นสีขาว บิต 0 หรือ 1 ใช้เพื่อควบคุมการสร้างภาพตัวพยัญชนะ H ที่จอแสดงผล บริเวณใดบนจอแสดงผลที่เป็นสีดำ แสดงว่าบริเวณนั้นมีรหัสข้อมูลเป็น 0 ซึ่งก็คือบริเวณภาพของตัวพยัญชนะ H ในทางตรงกันข้ามบริเวณใดบนจอแสดงผล ที่เป็นสีขาวหรือมีแสงออกมา แสดงว่าบริเวณนั้นมีรหัสข้อมูลเป็น 1 ซึ่งก็คือบริเวณ โดยรอบตัวพยัญชนะ H นั่นเอง

(*****ขอสงวนสิทธิ์ในบทความเรื่องนี้ หากต้องการนำส่วนหนึ่งส่วนใด
ของบทความนี้ไปใช้งานหรือเผยแพร่ โปรดขออนุญาิตก่อนครับ มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นการละเิมิดลิขสิทธิ์ !!!!!)

Monday, July 28, 2008

A picture is worth... - รูปภาพหนึ่งรูปมีค่า.....


เคยได้ยินคำกล่าวนิรนามที่ว่า “A picture is worth a 1,000 words” (รูปภาพหนึ่งรูปมีค่าเท่ากับคำพูดพันคำ) กันหรือไม่ คำกล่าวนี้หาได้เกินจริงไปแม้แต่ประการใด ในบางครั้งอาจน้อยกว่าความเป็นจริงเสียด้วยซ้ำ เพราะการอธิบายบางสิ่งบางอย่างที่เราเห็นด้วยคำพูดให้ใครต่อใครฟัง เพื่อให้เขาหรือเธอเห็นภาพได้เหมือนกับที่เราเห็นมา ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางสิ่งบางอย่างนั้น เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยทั้งกับคนพูดและคนฟังด้วยแล้ว

สมมติว่า เราต้องอธิบายลักษณะของเจ้า “หมาน้ำเม็กซิโก (Axolotl)” ที่เราได้ไปเห็นมาจากอะความเรียมแห่งหนึ่งให้เพื่อนฟัง เราจะอธิบายให้เพื่อนของเราเห็นภาพเจ้าหมาน้ำเม็กซิโกให้เหมือนกับที่เราไปเห็นมาได้อย่างไร?????



กรณีนี้แม้แต่คำพูดพันคำอาจยังไม่เพียงพอ ดังนั้นรูปภาพไม่ว่าจะอยู่ในแบบรูปใด ก็ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์เรา ไม่ใช่ในฐานะที่เป็นเครื่องมือทรงประสิทธิภาพสำหรับใช้อธิบายหรือเพื่อการติดต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์เราเท่านั้น ซึ่งเฉพาะในด้านนี้ด้านเดียวก็แสดงให้เห็นถึง
ความสำคัญอย่างมากของรูปภาพแล้ว รูปภาพยังมีความสำคัญในด้านอื่นๆ อีกมากมายไม่ว่าจะใช้เพื่อแสดงและยืนยันตัวตน ช่วยดึงดูดความสนใจ สร้างความสวยงาม ความประทับใจ ความเข้าใจ ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก ความสุข สนุกสนาน รื่นเริงบันเทิงใจ เศร้าสอย เหงียบเหงา ว้าเหว่ สมเพช สงสาร สะอิดสะเอียด
ขยะแขยง โกรธแค้น ขุ่นเคือง เกลียดชัง บันทึก บอกเล่าเหตุการณ์หรือเรื่องราว เตือนความจำ เสริมฮวงจุ้ย สร้างงานสร้างอาชีพ ฯลฯ

ก็ด้วยความสำคัญของภาพที่มีอยู่อย่างมากมายนี่แหละครับ ทำให้ผมตัดสินใจหันมายึดอาชีพขายภาพ
แต่ก็หาใช่เหตุผลนี้เพียงประการเดียว เหตุผลสำคัญคงอยู่ที่การถ่ายภาพทำให้ผมมีความสุขด้วย แม้ว่าจะยังไม่เป็นมือโปรก็ตาม จากภาพที่ถ่ายมา ก็นำมาตกแต่ง จนได้งานศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร อันนี้ก็ช่วยเพิ่มสุข แต่ที่สุขที่สุดเกิดขึ้นเมื่อภาพที่ทำมากับมือสามารถสร้างรอยยิ้ม และความสุขให้แก่ทุกคนที่ได้เห็นภาพได้เป็นเจ้าของภาพ อันนี้สิครับสุขสุดสุดไปเลย
…..


"นึกถึงภาพ นึกถึงพิกเซลแมเนีย"


Sunday, July 27, 2008

Introduction to my blog - ปฐมบทแห่งบล็อก


หนุ่มใหญ่วัย 42 คนหนึ่ง
เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนของชีิวิต
เช่นเดียวกับชีวิตของมนุษย์ทั่วไป

ลาออกจากงานเมื่อกลางปี '50
เพราะเบื่อระบบพวกพ้องในวงราชการ
เบื่อความอยากได้ใคร่มีในอำนาจ

ไม่อยากให้จิตตกและคิดโกรธ
จึงออกมาค้นหาความหมายของชีวิต
ออกมาหาวิถีชีวิตที่สงบและเป็นสุข

ได้มีเวลาอยู่กับธรรมะ้มากขึ้น
ได้ปฏิบัติมากขึ้น
ทำให้ใจสงบขึ้น เยือกเย็นขึ้น
เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
ย่อมเป็นไปตามกรรม
ใครทำอะไรย่อมไ้้ด้อย่างนั้น

แต่เมื่อยังต้องเดินทางต่อไปในทางโลก
จึงต้องมีรายได้เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
ทำให้ชีวิตมีค่า มีความหมาย
จึงตัดสินใจเปิดร้านพิกเซลแมเนีย

http://www.weloveshopping.com/shop/pixelmania

ขายรูปถ่าย รับตกแต่งภาพ และถ่ายภาพ

ที่เปิดบล็อกนี้ขึ้นมา
ก็เพื่อเสริมเติมกับเว็บไซต์ที่มีอยู่
อยากแบ่งปันความสวยงาม
แบ่งปันความรู้การถ่ายภาพ
การตกแต่งภาพ
และการพิมพ์ที่มีอยู่

อยากได้รู้จัก
กัลยาณมิตรใหม่ๆ
ที่เป็นกัลยาณธรรม

เพื่อแบ่งปัน
และร่วมสร้างสรรค์สิ่งดีๆ

ทั้งต่อตนเองและสังคม
นับจากนี้ไป...



"ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่บล็อก PIXEMANIA by TT ครับ"